ปาล์มน้ำมัน เป็นไม้ยืนต้นที่มีอัตราเติบโตและให้ผลผลิตสูงในรูปน้ำมัน ซึ่งมีต้นทุนในการสังเคราะห์สูงกว่าแป้งและโปรตีน ปาล์มน้ำมันจึงต้องการธาตุอาหารปริมาณมาก
ทีมงานยาง & ปาล์มออนไลน์ นำวิธีการใส่ปุ๋ยสวนปาล์มของ บริษัท ซีพีไอ อะโกรเทค จำกัด มานำเสนอ ซึ่งอยู่ในครือ บริษัท ชุมพรอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน จำกัด
(มหาชน) (ซีพีไอ) ผู้ผลิตน้ำมันปาล์มที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย
และเป็นบริษัทแรกของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในประเทศไทย
ที่ดำเนินธุรกิจในลักษณะครบวงจร ตั้งแต่การทำสวนปาล์ม มากกว่า 20,000 ไร่ โรงสกัดน้ำมันปาล์มดิบ
โรงกลั่นน้ำมันบริสุทธิ์ รวมถึงพัฒนาพันธุ์ปาล์มน้ำมัน
วิธีการใส่ปุ๋ยที่สวนปาล์มของบริษัทซีพีไอที่ใช้มาอย่างต่อเนื่อง
และได้ผลโดยตลอด คือ การใส่ปุ๋ยให้เพียงพอต่อการสร้างต้นและเพื่อการสร้างทะลาย กล่าวคือ ปุ๋ยส่วนหนึ่งให้ธาตุอาหารที่จะถูกตรึงอยู่ในส่วนต่างๆ
ของต้น ได้แก่ ใบ ลำต้น รากที่เพิ่มขึ้นต่อปี
และปุ๋ยอีกส่วนหนึ่งให้ธาตุอาหารเพื่อชดเชยกับที่ติดไปกับทะลายปาล์มน้ำมัน
การชดเชยธาตุอาหารตามผลผลิตทะลายปาล์ม
จึงเป็นการคืนธาตุอาหารกลับคืนสู่ดิน ซึ่งช่วยรักษากำลังผลิตของดินให้ยั่งยืน และต้นปาล์มน้ำมันจะให้ผลผลิตสูงอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่แปลงที่มีผลผลิตต่ำ เป็นไปได้ว่าอาจเกิดจากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่เพราะขาดธาตุอาหารเพียงอย่างเดียว
ซึ่งก็จะช่วยลดการใส่ปุ๋ยฟุ่มเฟือย
อีกทั้งวิธีนี้เหมือนบังคับให้ผู้ปลูกปาล์มน้ำมันต้องมีการเก็บข้อมูลผลผลิต
ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติ เพื่อจะได้ประเมินประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยและค่าใช้จ่ายในการจัดการได้อย่างคุ้มค่า
ตารางที่ 1 อัตราการให้ปุ๋ยเคมีประจำปีแก่ปาล์มน้ำมัน
การศึกษามวลชีวภาพและปริมาณอาหารพืช ของแต่ละชิ้นส่วนของต้นปาล์ม เช่น ใบ ทางใบลำต้น ราก และทะลาย เพื่อใช้คำนวณเป็นระดับอ้างอิงในการใส่ปุ๋ยให้กับต้นปาล์ม ของ บริษัท ซีพีไอ อะโกรเทค จำกัด ทำงานร่วมกับ นักวิจัยของศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร ม.เกษตรศาสตร์
แนวทางการใส่ปุ๋ยมีดังนี้
เนื่องจากดินปลูกปาล์มน้ำมันส่วนใหญ่เป็นดินเนื้อหยาบ จึงดูดซับธาตุอาหารในปุ๋ยเคมีได้ใปริมาณน้อย และมีโอกาสสูญเสียไปกับการชะล้างของฝนได้ จึงควรเติมอินทรียวัตถุลงดินก่อน เช่น ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักขณะต้นยังเล็ก หรือใช้ทะลายปาล์มเปล่าคลุมโคนและพยายามเติมให้ทุกปี
เมื่อต้นโตให้สร้างแถวกองทาง
คือนำใบที่ตัดออกจากต้นมากองเป็นแนวขนานกับแถวปาล์มน้ำมัน แถวเว้นแถวหรือทุกแถว
วางทับซ้อนกันไปเรื่อยๆ เวลาใส่ปุ๋ยเคมีให้สาดใส่บนอินทรียวัตถุหรือบนกองทางใบ
อินทรียวัตถุที่ได้จากการย่อยสลายของทางใบเป็นตัวช่วยตรึงปุ๋ยไม่ให้ถูกน้ำ
ชะล้างไป และยังช่วยรักษากิจกรรมของจุลินทรีย์ในดินให้ช่วยย่อยทางใบและสลายเป็น
อินทรียวัตถุบำรุงดินได้เร็วขึ้นต่อไป
พื้นที่ประชาสัมพันธ์
ลงโฆษณา 08-6335-2703
การใส่ปุ๋ยเคมีหลักกับปูนโดโลไมท์
จะทำให้ต้นปาล์มน้ำมันได้ธาตุอาหาร ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม และ กำมะถัน ซึ่งเป็นธาตุที่ปาล์มต้องการปริมาณมาก
ส่วนจุลธาตุอื่นๆ ต้นปาล์มน้ำมันต้องการโบรอนชัดเจน
จึงควรใส่โบรอนทุกปีโดยเฉพาะเมื่อใบแสดงอาการขาด ใส่ในรูปของปุ๋ยทางดิน
ชื่อทางการค้า Fertibor หรือ Quibor
มี 15%B ปริมาณ 50-100 กรัมต่อต้นต่อปี
ส่วนจุลธาตุที่มีโอกาสขาดได้คือ ธาตุทองแดงกับสังกะสี ควรใส่โดยพิจารณาจากค่าวิเคราะห์เคมีของใบ
โดยวิธีการใส่จุลธาตุก็หว่านไปบนกองทางเช่นเดียวกับปุ๋ยเคมี
ลำดับการใส่ปุ๋ยในรอบปี พิจารณาจากความยากง่ายในการละลายน้ำของปุ๋ย ปุ๋ยหินฟอสเฟตและโดโลไมท์ละลายน้ำได้น้อย ใส่ช่วงไหนของปีก็ได้ เพียงแต่ต้องระวังที่ลาดชันมากๆ ที่มีน้ำไหลบ่าพาปุ๋ยออกจากพื้นที่
ลำดับการใส่ปุ๋ยในรอบปี พิจารณาจากความยากง่ายในการละลายน้ำของปุ๋ย ปุ๋ยหินฟอสเฟตและโดโลไมท์ละลายน้ำได้น้อย ใส่ช่วงไหนของปีก็ได้ เพียงแต่ต้องระวังที่ลาดชันมากๆ ที่มีน้ำไหลบ่าพาปุ๋ยออกจากพื้นที่
ส่วนปุ๋ยที่ละลายในน้ำได้มากคือปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต (21-0-0) หรือยูเรีย และปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรด์ (0-0-60) ควรแบ่งใส่อย่างน้อยเป็น 2 ครั้ง ครั้งแรกในช่วงต้นฝนและอีกครั้งในช่วงปลายฝน คือ ประมาณ 60% ของปริมาณปุ๋ยที่ต้องใส่ทั้งปี เพราะเมื่อฝนตกต้นปาล์มจะได้นำปุ๋ยไปใช้ได้ทันที ปุ๋ยส่วนที่เหลือค่อยใส่ตอนปลายฝน เพราะช่วงฝนจะมีความลำบากในการเข้าไปปฏิบัติงานในสวน ให้หลีกเลี่ยงช่วงฝนตกชุกที่มีโอกาสของการชะปุ๋ยไปตามน้ำฝน หรือจะแบ่งใส่เป็น 3 ครั้งต่อปี คือ ต้นฝน 40% กลางฝน 30% และปลายฝน 30% ของปริมาณปุ๋ยที่ต้องใส่ทั้งปี ทั้งนี้ขึ้นกับแรงงานที่มี
เนื่องจากปูนโดโลไมท์มีระดับความเป็นด่างสูง
หากให้ปุ๋ยไนโตรเจนสัมผัสกับปูนโดยตรง มีโอกาสที่สารประกอบไนโตรเจนถูกเปลี่ยนเป็นแก๊สแอมโมเนีย
ระเหยสูญเสียจากดินได้ จึงเป็นข้อแนะนำว่าการใส่ปูน ให้โรยเป็นทางด้านหนึ่ง
ส่วนการใส่ปุ๋ยตัวอื่นให้ใส่บนกองทางที่จะไม่ทับลงไปบนปูนโดยตรง
การใส่ปุ๋ยตัวอื่นๆ ให้หว่านกระจายไปทั่วกองทางให้ได้มากที่สุด
จะช่วยให้ชิ้นส่วนทางใบถูกย่อยสลายได้ง่ายขึ้นด้วย
ข้อควรเข้าใจคือ ท่อน้ำและท่ออาหารภายในลำต้นพืชมีการเชื่อมติดต่อถึงกัน การให้พื้นที่บางบริเวณของดินในเขตรากพืชมีความชื้นและมีธาตุอาหารเพียงพอ จะทำให้เกิดกิจกรรมของจุลินทรีย์ในดินได้มาก ซึ่งจะส่งเสริมการดูดใช้ธาตุอาหารของต้นพืชได้ผลดีกว่าการหว่านลงดินทั่ว บริเวณต้น (แบบหว่านรอบโคนต้น) ที่มีสภาพแห้งและมีกิจกรรมจุลินทรีย์น้อย การสร้างกองทางใบจึงเป็นแนวทางที่แนะนำให้ปฏิบัติเพื่อให้เกิดสภาพดินที่ เหมาะสมข้างใต้กองทาง ซึ่งรากต้นปาล์มน้ำมันจะขยายแผ่มาอยู่อย่างหนาแน่น และยังคงมีชีวิตอยู่ได้ในช่วงแล้ง
#สวนปาล์ม #ปาล์มน้ำมัน
ข้อมูลจาก http://www.cpiagrotech.com/
Advertising
ลงโฆษณาโทร.08-6335-2703
ความคิดเห็น