ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เทคนิคทำสวนยาง ด้วย “เอทธิลีน” ระบบกรีด น้ำยางเพิ่ม 3-5 เท่า


“เอทธิลีน” เป็นฮอร์โมนพืชชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในต้นยาง แต่มักจะสูญเสียไปทุกครั้งที่มีการกรีดยาง ยิ่งมีอายุกรีดมากเท่าไหร่เอทธิลีนก็ยิ่งลดลงมากเท่านั้น และแม้ต้นยางจะสร้างใหม่ได้ แต่ก็มักจะไม่ทันใช้เมื่อถูกกรีดต่อเนื่อง จนขาดความสมดุล โดยเฉพาะกับต้นยางอายุ 15 ปีขึ้นไป

ผลกระทบเมื่อต้นยางขาดสมดุลทำให้กระบวนการสร้างน้ำยางมีปัญหา จนน้ำยางลดลงในท้ายที่สุด

โดยธรรมชาติของเกษตรกรชาวสวนยางเมื่อต้นยางมีน้ำยางน้อย ก็จะไม่ถนอมต้นยาง แต่จะกรีดทุกทิศทุกทางสร้างความเสียหายกับหน้ายางและต้นยาง และลงเอยด้วยการโค่นสวนยางแล้วปลูกใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6-7 ปี กว่าจะเริ่มกรีดยางได้อีกครั้ง นับเป็นความสูญเสีย รายได้ เวลา และโอกาส

วิธีหนึ่งที่จะช่วย “ทวงคืน” เวลาและโอกาส คือ เติม “เอทธิลีน” ให้ต้นยาง

การเติมเอทธิลีนให้กับต้นยาง จะใช้ฮอร์โมนเอทธิลีนที่ผลิตมาจาก “บายโปรดักส์” ของการบวนการผลิตปิโตรเลียม หรือน้ำมัน ซึ่งเป็นเอทธิลีนชนิดเดียวกับที่อยู่ในต้นยาง

เมื่อเติมเอทธิลีนถูกเติมเข้าสู่ให้ต้นยางจะช่วยสร้างสมดุลให้กลับคืนมา ผลก็คือทำให้ท่อน้ำยางเปิดและขยายจนน้ำยางไกลได้นานและเต็มที่ นอกจากนั้นผู้ใช้ยังพบว่า เอทธิลีนยังมีส่วนช่วยให้ต้นยางเจริญเติบโตได้ดีกว่าปกติ เพียงแต่ฮอร์โมนเอทธิลีนที่เหมาะสมต้องบริสุทธิ์ 99.99%

วิวัฒนาการการใช้เอทธิลีนในสวนยางของไทย จากอดีตถึงปัจจุบัน

ถ้าจะย้อนกลับไปดูที่มาที่ไปของการใช้เอทธิลีนในสวนยางของเมืองไทย  ก็ต้องย้อนไปเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว สมัยนั้นมีบริษัทเอกชนเข้ามาเหมาซื้อสวนยางแก่แถว จ.ภูเก็ต พังงา และกระบี่ จากนั้นนำเทคโนโลยีเอทธิลีนจากประเทศมาเลเซีย มาใช้เร่งน้ำยาง ชาวบ้านนิยมเรียกว่า “แก๊สเอทธิลีน”   เพื่อเพิ่มน้ำยางในช่วงบั้นปลายก่อนโค่นปลูกใหม่

แต่กลับประสบปัญหาตามมา คือ หน้ายางแห้ง ยางบางต้นยืนต้นตาย ซึ่งเป็นผลจากใช้เอทธิลีนที่มีความบริสุทธิ์ต่ำ เพียง 60%


 หลังจากนั้นไม่นานยังมีคนไทยบางกลุ่มใช้ “อะเซทิลีน” ที่คล้ายคลึงกับเอทธิลีน แต่เป็นแก๊สจากถ่านหิน นำมาอัดต้นยาง ทำให้น้ำยางไหลไม่หยุด จนต้นยางตายเลยก็มี

ภาพลักษณ์ของเอทธิลีนในสวนยางจึงกลายเป็น “สารพิษ” และติดลบอย่างหนัก จนชาวบ้านกลัวเอทธิลีนนับจากนั้นเป็นต้นมา จึงมักจะได้ยินชาวสวนยางพูดว่า “ยางอัดแก๊สแล้วต้นยางตาย” โดยไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง

ก่อนที่จะมีการนำเข้าฮอร์โมนเอทธิลีนบริสุทธิ์ 99.99% มาใช้ในภายหลัง ผลกระทบจึงน้อยลงและสามารถเพิ่มน้ำยางได้หลายเท่า แต่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มเกษตรกรหัวก้าวหน้ากล้าลองเท่านั้น

จนเมื่อ10 ปีที่ผ่านมาชาวสวนยางเริ่มยอมรับและเปลี่ยนทัศนะกับเอทธิลีนมากขึ้น หลังจากมีบริษัทเอกชนนำเข้าเทคโนโลยีนี้มาจากประเทศมาเลเซียมาทำตลาด พร้อมๆ กับมีงานวิจัยของกรมวิชาการเกษตรยืนยันผลการใช้ เป็นต้น โดยแนะนำให้ใช้กับสวนยางก่อนโค่น เอทธิลีนจึงเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น

วิวัฒนาการอุปกรณ์ติดตั้งเอทธิลีน จากฝาครอบสู่ตัวตอก

เทคโนโลยีการนำเอทธิลีนเข้าสู่ต้นยาง ถูกพัฒนามาขึ้นมาโดย ดร.สิวา กุรามาน อดีตผู้อำนวยการโครงการวิจัยและพัฒนา สถาบันวิจัยยางมาเลเซีย หรือที่เรียกว่า “ริมโฟล์ว” (RRIMFLOW) เป็นอุปกรณ์แบบกระเปาะหรือฝาครอบ แล้วใช้แม็กเย็บกระดาษขนาดใหญ่เย็บติดกับเปลือกยาง และทากาวยึดป้องกันเอทธิลีนรั่ว กระเปาะทำหน้าที่เก็บเอทธิลีน แล้วค่อยๆ ซึมผ่านเข้าไปเปลือกยาง

ข้อดีของอุปกรณ์ชนิดนี้คือ สามารถเก็บเอทธิลีนได้มาก มีพื้นที่ทำงานของเอทธิลีนมาก ปริมาณน้ำยางค่อนข้างสูง

แต่จุดอ่อนมโหฬารก็คือ เอทธิลีนมักรั่วจากการขยายตัวของเปลือกยาง ทำให้ต้องถอดและย้ายตำแหน่งติดตั้งบ่อย และยุ่งยาก เกษตรกรทำเองไม่ได้ ต้องจ้างบริษัทมาดำเนินการ ทำให้ต้นทุนค่อนข้างสูง



อุปกรณ์แบบกระเปาะหรือฝาครอบแล้วใช้แม็กเย็บกระดาษขนาดใหญ่เย็บติดกับเปลือกยาง และทากาวยึดป้องกันเอทธิลีนรั่ว กระเปาะทำหน้าที่เก็บเอทธิลีน แล้วค่อยๆ ซึมผ่านเข้าไปเปลือกยาง
อุปกรณ์ “ตัวตอก” ขึ้นมา  เป็นแผ่นเหล็กสี่เหลี่ยมตอกเข้าไปในเปลือกยาง หรือที่ชาวสวนยางรู้จักกันในชื่อ “เลทไอ”

ก่อนจะมีการพัฒนาอุปกรณ์ “ตัวตอก” ขึ้นมา  เป็นแผ่นเหล็กสี่เหลี่ยมตอกเข้าไปในเปลือกยาง หรือที่ชาวสวนยางรู้จักกันในชื่อ “เลทไอ” นั่นเอง

หลังจากนั้นมีหลายบริษัทพัฒนาให้ใช้งานได้สะดวก ทนทาน และต้นทุนต่ำ โดยใช้วัสดุเป็นพลาสติกชนิดหนาเป็นวัสดุ เป็นต้น

จุดเด่นของอุปกรณ์ชนิดนี้คือ ใช้งานง่าย เกษตรกรสามารถติดตั้ง เคลื่อนย้ายได้ด้วยตัวเอง ตัวอุปกรณ์ทนทานใช้งานได้นาน

แต่จุดอ่อนคือ ปริมาณพื้นที่ทำงานของเอทธิลีนน้อยกว่า ริมโฟล์ว แต่ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ทำให้อุปกรณ์ชนิดหัวตอกได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน

เทคนิคการให้เอทธิลีนกับต้นยาง

ถ้าได้เห็นการให้เอทธิลีนกับต้นยาง หลายคนมักจะบอกว่าไม่ต่างอะไรกับการให้น้ำเกลือคนเลย เพราะมีหัวตอกเข้ากับเปลือกยาง มีถุงเก็บเอทธิลีน และมีสายยางเล็กๆ พร้อมหัววาล์วอัดเอทธิลีน

วิธีติดตั้งและทำงานของอุปกรณ์เริ่มจาก ตอกตัวตอกหรือหัวจ่ายเอทธิลีนเข้าไปกับต้นยาง ประมาณ 3 มม. โดยไม่ให้ลึกเข้าเนื้อไม้ หัวตอกจะเชื่อมต่อกับสายยางและถุงเก็บเอทธิลีน จากนั้นทำการอัดหรือจ่ายเอทธิลีน ที่อยู่ในถัง หรือกระป๋องลักษณะเดียวกับกระป๋องฉีดยากันยุง ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาให้ใช้งานง่ายและสะดวกขึ้น

อัดเอทธิลีนเข้าไปประมาณ 40 cc. ฮอร์โมนจะไหลไปอยู่ในถุงเก็บและค่อยๆ ไหลซึมเข้าเปลือกยางภายใน 24 ชม. หลังจากนั้นเอทธิลีนจะเริ่มทำงาน จึงเริ่มกรีดยางได้

ตัวฮอร์โมนเอทธิลีนจะค่อยๆ ซึมเข้าไปในเปลือกยางครอบคลุมรัศมีรอบหัวตอกประมาณ 1ฟุต  รอยกรีดจึงควรอยู่ในรัศมี 8 นิ้วหรือ 1 ฟุต

ทั้งนี้การติดตั้งหัวตอกเอทธิลีนผู้ผลิตแนะนำให้ติดตั้งด้านซ้ายเหนือรอยกรีด 8-12 นิ้ว


ต้นทุนอุปกรณ์และเอทธิลีน

การลงทุนหลักๆ อยู่ที่อุปกรณ์ติดตั้งเอทธิลีน เมื่อสัก 4-5 ปีก่อนอุปกรณ์ประเภทตัวตอกราคาชุดละ 50-60 บาท แต่หลังจากเกิดความนิยมมากขึ้น มีผู้ใช้ และผู้ผลิตนำเข้ามากขึ้น จึงมีการแข่งขันสูง ทำให้ราคาลดลงเหลือประมาณ 40-50 บาท ขณะที่บางรายอย่าง เลทไอ ซึ่งเป็นผู้นำเทคโนโลยีหัวตอกเข้ามาในประเทศรายแรกมีโปรโมชั่นเหลือชุดละ  25-30 บาทเท่านั้น
ส่วนเอทธิลีน นิยมใช้แบบกระป๋อง เพราะสะดวกใช้ง่าย โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ราคาอยู่ระหว่าง 70-100บาท แล้วแต่ยี่ห้อ หนึ่งกระป๋องสามารถอัดได้มากกว่า 150 ต้น

นอกจากนั้นแล้วยังต้องเปลี่ยนลวดและถ้วยยางให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ตามปริมาณน้ำยางที่เพิ่มขึ้น แนะนำให้ใช้ถ้วยยางขนาด 3-5 ลิตร

สวนยางเอทธิลีน พลิกโฉมการกรีดยาง ประหยัดเวลา แรงงาน แต่ผลผลิตเพิ่ม ยืดอายุต้นยางได้เป็นร้อยปี

การใช้เอทธิลีนในสวนยางข้อมูลทางวิชาการในช่วงแรกๆ แนะนำให้ใช้เฉพาะกับต้นยางแก่ใกล้โค่น ก่อนจะแนะนำให้ใช้กับต้นยางอายุ 15 ปีขึ้นไป ซึ่งต้นยางมีขนาดใหญ่ และสมบูรณ์เต็มที่ แต่ส่วนใหญ่หน้ากรีดปกติน่าจะถูกจนหมดแล้ว จึงใช้วิธีติดตั้งอุปกรณ์บริเวณด้านบนเหนือรอกกรีดปกติ หรือแบบเดียวกับการกรีดยางหน้าสูง ซึ่งเป็นส่วนที่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีรอยกรีดมาก่อน

โดยจะใช้วิธีกรีดยางหน้าสั้น จากปกติชาวสวนยางแบ่งหน้ากรีด ครึ่งต้น สามส่วน หรือกรีดสี่ส่วน ก็แบ่งหน้ากรีดเป็น 6 ส่วน หรือยาวประมาณ 4 นิ้ว จึงช่วยลดการสิ้นเปลืองหน้ายางได้มากกว่าปกติ


ทั้งนี้ระบบเอทธิลีนจะช่วยให้ท่อน้ำยางเปิด น้ำยางจึงไหลนานไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง แม้จะกรีดยางหน้าสั้น และจากการทดลองขนาดของรอยกรีดสั้นหรือยาวยาว น้ำยางไม่แตกต่างกันมากนัก

อีกทั้งระยะเวลาการกรีดจะห่างขึ้น จากปกติกรีดสองวันเว้นหนึ่งวัน ระบบนี้จะกรีด หนึ่งวันเว้นสองวัน หรือ 3 ครั้งต่อสัปดาห์เท่านั้น (เดือนละ 10 วัน)  แต่น้ำยางได้มากกว่าปกติ 3-5  เท่า จึงทำให้ทำงานน้อยลง ต้นยางมีเวลาพักมากขึ้น ช่วยประหยัดหน้ายาง กรีดได้ยาวนานขึ้น แต่ผลผลิตเพิ่มขึ้นหลายเท่า

เทคนิคเล็กๆ สำหรับการกรีดยางใช้เอทธิลีน ควรกรีดล่างขึ้นบนจากซ้ายมาขวา เนื่องจากการสังเคราะห์แสงเพื่อปรุงอาหารอยู่ที่ใบ อาหารที่ต้นยางจะนำมาสร้างน้ำยางจะมาจากด้านบนนั่นเอง

ข้อดีอีกอย่างของการทำสวนยางเอทธิลีน คือ ไม่ต้องกรีดยางกลางคืน เนื่องจากน้ำยางจะไหลนาน 8-12 ชั่วโมง ดังนั้นเกษตรกรจะกรีดเวลาเย็นหรือก่อนค่ำ แล้วไปเก็บน้ำยางในช่วง 7-8 โมงเช้า ซึ่งเคยมีแนวคิดที่จะนำเอทธิลีนไปเผยแพร่ให้ชาวสวนยางใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีปัญหาเรื่องผู้ก่อการร้ายและความปลอดภัย

ส่วนปริมาณน้ำยางต่อการกรีดแต่ละครั้ง มีความแตกต่างกันพอสมควร โดยในช่วงกรีดวันแรกหลังอัดเอทธิลีน ปริมาณน้ำยางจะค่อนข้างสูงอาจจะมากกว่า 5 เท่า แต่ครั้งที่สองและสามน้ำยางจะค่อยๆ ลดน้อยลง เนื่องจากเอทธิลีนที่อัดเข้าไปมีปริมาณน้อยลงนั่นเอง จึงจำเป็นต้องอัดเอทธิลีนเข้าไปอย่างต่อเนื่องทุกๆ 10 วัน



หลังจากนั้นประมาณ 2-3 เดือน ต้องเปลี่ยนตำแหน่งหัวตอก เนื่องจากเปลือกยางขยายตัว อาจจะดันหัวตอกจนเอทธิลีนรั่ว เวลาย้ายก็แค่ดึงออกแล้วตัวตอกตำแหน่งใหม่เหนือรอยเก่าประมาณ 1 นิ้ว

อย่างไรก็ตาม การทำสวนยางระบบน้ำเมื่อได้น้ำยางสูงขึ้น เกษตรกรจำเป็นต้องให้ปุ๋ยยางเพิ่มมากกว่าปกติเช่นกัน จากเคยใส่ ปีละ 2 ครั้ง ก็เพิ่มเป็น 3-4ครั้ง  ซึ่งเป็นกฎเหล็กของการทำสวนยางเอทธิลีน

เอทธิลีนในสวนยางได้รับความนิยมสูงมากในช่วงที่ยางราคาสูงเกินกว่า 100 บาท/กก. แม้จะลงทุน ต้นละ 50-60 บาท แต่กรีดแค่ครั้งเดียวก็ได้ทุนคืนแล้ว

แต่ในช่วงที่ยางราคาตกต่ำดูเหมือนว่ากระแสอาจจะลดลง แต่ถ้ามองในมุมของผลผลิตที่เพิ่มขึ้น 3 เท่า เอทธิลีนในสวนยางจึงน่าสนใจลงทุนไม่น้อย

 อย่างไรก็ตามการทำสวนยางเอทธิลีนยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่เกษตรกรต้องศึกษาเรียนรู้และปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จึงควรศึกษาจากผู้จำหน่ายให้ละเอียด เพื่อจะได้ทำสวนยางให้ประสบความสำเร็จ




ตั้งหน้ากรีดยางหน้าสูง เป็นส่วนที่ยังไม่ผ่านการกรีดมาก่อน จะเห็นว่าตั้งหน้ากรีดสั้น และกรีดแบบล้างขึ้นบน โดยกรีดจากซ้ายไปขวา
แต่ก็มีเกษตรกรจำนวนหนึ่งที่ใช้เอทธิลีนจนชำนวญ และกล้าที่จะแหกกฎใหม่ๆ อย่างเช่นในภาพนี้ เจ้าของสวนใช้เอทธิลีนกับต้นยางอายุต่ำกว่า 15 ปี แล้วกรีดระดับปกติ กรีดบนลงล่าง ให้น้ำยางสูงเหมือนกัน
เอทธิลีน และถังขนาดใหญ่ สำหรับสวนยางรายใหญ่



แม้จะได้น้ำยางสูง แต่ถ้าฝนตกก็ไม่มีความหมาย เพราะกรีดยางไม่ได้ ติดหมวกยางกันฝนช่วงได้ระดับหนึ่ง แต่ต้นทุนก็ย่อมสูงกว่าเดิม เพราะหมวกยางกับอุปกรณ์เอทธิลีนราคาพอๆ กัน





advertivsing

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โค่นยาง ปลูกปาล์ม “พันธุ์โกลด์เด้นเทเนอร่า” 100 ไร่ อายุแค่ 40 เดือน คาดผลผลิตเฉียด 3 ตัน/ไร่/ปี

สืบเนื่องจากโพสต์ใน   Facebook   กลุ่มปาล์มน้ำมัน   ของ   กิตติชัย   ก่ออ้อ   เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์   2560   ที่นำภาพสวนปาล์มแห่งหนึ่งใน อ . อ่าวลึก   จ . กระบี่   มาโพสต์ให้คนในกลุ่มชม โดยภาพนั้นเป็นต้นปาล์มวัยแค่   40   เดือน   แต่กลับให้ทะลายเต็มจนทะลักคอทุกต้น   ส่วนใหญ่ทะลาย 3 ชั้น ทีมงานยางปาล์มออนไลน์เห็นแล้วตาลุกโชนเพราะทึ่งปนตะลึง เช่นเดียวกับสมาชิกที่ติดตามกลุ่มปาล์มน้ำมันกว่า 25,600 คน ก่อนที่เราจะตกลงกันว่าต้องเดินทางลงกระบี่เพื่อไปดูให้เห็นกับลูกตา     หากแต่จุดประสงค์หลักเราต้องการเจาะลึกเทคนิคบริหารจัดการสวนปาล์มจากเจ้าของสวน   โดยได้รับการอำนวยความสะดวกจาก   บริษัท   โกลด์เด้นออยล์ปาล์ม จำกัด   ซึ่งเป็นพันธุ์ปาล์มที่สวนแห่งนี้ใช้ปลูกจำนวน   100   ไร่   และโชคดีที่   ดร . เอนก   ลิ่มศรีวิไล   เจ้าของและผู้พัฒนาสายพันธุ์ ปาล์มโกลด์เด้นเทเนอร่า   เดินทางไปชมพร้อมกับทีมงานด้วย เมื่อเดินทางถึงสวนปาล์มแห่งนี้   ดร . เอนก   คว้ากล้องคู่กายเดินถ่ายภาพและหายลับเข้าไปในสวนปาล์ม   ได้ยินแต่เสียงร้องอุทานเป็นระยะๆ หลังจากเห็นทะลายปาล์มดกเต็มคอทุกต้น   ซึ่ง

ทึ่ง..สวนปาล์มผลผลิต 7.3 ตัน/ไร่/ปี ต้นทุนต่ำน่าเหลือเชื่อ ผลงาน โสฬส เดชมณี

บอกใคร ใครเขาจะเชื่อ... !!! สวนปาล์มขนาด 44 ไร่ อายุ 8 ปี ทำผลผลิตได้ 7.3 ตัน/ไร่/ปี และตั้งเป้าจะปั๊มผลผลิตทะลุ 8 ตัน ในปีที่ 9 และ 10 ในขณะที่ผลผลิตปาล์มน้ำมันเฉลี่ยทั้งประเทศ 3 ตัน/ไร่/ปี “ยังไม่ถึงที” (ขอยืนสำนวนคนใต้มาใช้) “โกหกแล้ว บ้าไปแล้ว” “7.3 ตัน สูงไปมั้ยครับ” นี่คือส่วนหนึ่งของคอมเมนต์ในเพจยาง & ปาล์มออนไลน์ หลังจากทีมงานนำข้อมูลผลผลิตของสวนปาล์มแห่งนี้ไปโพสต์ สะท้อนข้อมูลที่ย้อนแย้งต่อความรู้สึกของชาวสวนปาล์มจำนวนหนึ่งที่เชื่อว่า ตัวเลขนี้ไม่ใช่เรื่องจริง ยิ่งเมื่อแบข้อมูล “ต้นทุน” การจัดการสวนปาล์มทั้งระบบ บางปีมีต้นทุนต่ำเพียงแค่ 1.30 บาท/ปาล์ม 1 กก. ก็ยิ่งไม่น่าเชื่อ ถ้าเป็นภาษาใต้ก็ต้องบอกว่า “โกหกทั้งเพ” นายโสฬส เดชมณี เจ้าของสวนปาล์ม 44 ไร่ ทำผลผลิตได้ 7.3 ตัน/ไร่/ปี  หากแต่พวกเราทีมงานยาง & ปาล์มออนไลน์ ยืนยันว่า ข้อมูลนี้คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับสวนปาล์มของ นายโสฬส เดชมณี เกษตรกรชาวสวนปาล์มหัวก้าวหน้าแบบ  “ ติดจรวด ”  ของ อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี สวนปาล์มที่ได้รับคำชื่นชมว่ามีระบบการจัดการสวนที่ดี พอๆ กับเป็นสวนปาล์มที่ใ

ลงทุน ธุรกิจยางเครป อย่างไร ให้มีกำไร

พูดถึงธุรกิจการแปรรูปน้ำยางพาราตอนนี้ “ยางก้อนถ้วย” ดูจะเป็นคำตอบต้นๆ สำหรับเกษตรกรโดยเฉพาะพี่น้องสวนยางภาคเหนือและอีสานนิยมทำยางก้อนถ้วย เนื่องจากทำง่าย ใช้เวลาน้อย ต่างจากการทำยางแผ่นซึ่งต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งวัน แถมในกระบวนการผลิตยังต้องใช้น้ำปริมาณมาก ตรงข้ามกับการทำยางก้อนถ้วยที่ไม่ต้องใช้น้ำในกระบวนการเลยและเกษตรกรทำเองได้โดยไม่ต้องอาศัยแรงงานมาก เมื่อก่อนการจำหน่ายยางก้อนถ้วยอาจเป็นช่องทางที่ดีที่สุดในช่วงเวลานั้น แต่กลับพบว่ามีจุดอ่อนบางประการทำให้เกษตรกรถูกเอาเปรียบ ถูกกดราคาซื้อเนื่องจากปริมาณน้ำในก้อนยาง   คุณประธาน สังหาญ  (ซ้าย) ธุรกิจยางเครป จึงเกิดขึ้นเพื่อลบจุดอ่อนนี้ ทีมงานยาง & ปาล์มออนไลน์ ได้สัมภาษณ์ คุณประธาน สังหาญ  หนึ่งในผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจนี้ ปัจจุบันได้ให้คำปรึกษากับพ่อค้ารับซื้อยางก้อนถ้วยเพื่อผลิตยางเครปส่งโรงงานและกลุ่มเกษตรกรหลายแห่งในเขตภาคเหนือ-อีสานเกี่ยวกับการเริ่มต้นธุรกิจยางเครป โดยมีประเด็นสำคัญคือ ทำยางเครปอย่างไรให้ได้กำไร ศาสตร์ของการทำยางเครป “ไม่ขาดทุน” ที่ คุณประธาน สรุปคร่าวๆ มี 6 ข้อ หรือที่เขาเรียกว่า 6M